เรามาดูกันว่า ศิลปะ ช่วยเยียวยาและทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้อย่างไร
1. การชื่นชมงาน ศิลปะ ดีๆมันเหมือนกับการตกหลุมรัก
นักวิทยาศาสตร์ได้ยืนยันว่าคนรัก ศิลปะ ทุกคนรู้ถึงหัวใจตัวเอง การชื่นชมศิลปะจึงช่วยทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้นและทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น
ตามศาสตราจารย์ Semir Zeki นักประสาทชีววิทยาในมหาวิทยาลัยลอนดอนได้กล่าวไว้ เมื่อคุณจ้องงานศิลปะที่ดี ส่วนหนึ่งของสมองคุณมีสิ่งเร้าเหมือนกับคุณนั้นตกหลุมรัก
ในสมองของเรามีความรู้สึกยินดีแบบเดียวกันเมื่อเราชื่นชมงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ อย่างเช่น The birth of venus โดย Sandro Boticelli หรืองานมาสเตอร์พีซชิ้นอื่นๆโดยศิลปินชั้นบรมครูอื่นๆอย่างโมเน่ต์,เทอร์เนอร์หรือคอนสเตเบิล
การวิจัยอื่นๆได้ค้นพบว่าการฟังเพลงที่ชอบกระตุ้นการสร้างโดพามีนในสมอง และช่วยให้เกิดอารมณ์ที่ดีอีกด้วย
ความรักในความงามคือรสนิยม การสร้างความงามคือศิลปะ
ราล์ฟ วัลโด อีเมอร์สัน
2. การสร้างงาน ศิลปะ คือการบำบัดและเยียวยา
การแสดงออกทางทัศนะนั้นใช้ในการรักษาทั่วไปในประวัติศาสตร์ มีแต่ศิลปะบำบัดเท่านั้นที่ถูกระบุว่าเป็นวิชาชีพเมื่อไม่นานมานี้
ในช่วงศษวรรษหลังๆ เราค้นพบอีกครั้งถึงผลประโยชน์จากการสร้างงานศิลปะสำหรับการเจริญเติบโต ,การแสดงออก,การเปลี่ยนแปลงและการมีสุขภาพดี การบำบัดทางศิลปะเติบโตตั้งแต่ช่วง 1970s กลายเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการบำบัดนอกเหนือไปจากสุขภาพและยา ผ่านทางศิลปะและการใช้อุปกรณ์อย่างสร้างสรรค์ เราสามารถที่จะค้นพบและตามหาภาพที่แท้จริงของเราได้ เราสามารถรู้จักตัวเรามากขึ้นได้
การสร้างงานศิลปะนั้นทำให้เรารู้สึกสงบและลดภาวะเครียด มันเป็นการผ่อนคลาย การอิ่มเอิบใจ และการแสดงออกในตัวตน
ความสามารถไม่ใช่องค์ประกอบหลักในการบำบัดด้วยศิลปะ ที่จริงแล้วความสามารถไม่จำเป็นเลยค่ะ
การบำบัดทางศิลปะเกิดขึ้นจากแนวความคิดที่ว่าความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นภายในตัวบุคคลแต่ละคน
เรามีของขวัญแห่งความคิดสร้างสรรค์และมันหลบอยู่ภายในความคิดสร้างสรรค์ที่นำพาเราไปสู่การเดินทางในการรักษาที่มีความเป็นเอกลักษณ์เหมือนที่เราเป็น
นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวว่าการที่สร้างความชื่นชมในศิลปะตั้งแต่ยังเล็กๆ เป็นการสะสม เพื่อให้เรานั้นมีภูมิต้านทานที่ดี
3. แวดล้อมไปด้วยสิ่งที่คุณรักนั้นนำพาความสุขมาให้
ความสนุกสนานนั้นเกี่ยวกับการแวดล้อมไปด้วยสิ่งที่เรารัก
เราโตในบ้านที่เราไม่ได้เลือกการตกแต่งให้ เราได้รับการซึมซับจากครูและญาติ ว่าอะไรคือความสวยงามและน่าดึงดูด โดยไม่นึกเลยว่าตอนเราโตเรานึกว่าเราจะรู้ว่าอะไรนั้นเป็นที่น่าพึงใจ และอะไรที่เรารัก แต่เรารู้รูปทรงและรูปร่างที่ทำให้เรามีความสุขหรือไม่
มีการตกแต่งบ้านมากเท่าไรที่มาจากตัวเราข้างในจริงๆ และส่วนไหนที่ได้รับผลกระทบต่ออะไรที่เราเรียนรู้มาว่าเป็นตัวเลือกที่ดี ไม่ว่าจะเป็นจากพ่อแม่หรือนักออกแบบตกแต่งภายใน
ความปลื้มปิติมากล้นพบในสี,รูปร่าง,รูปทรงและรูปภาพ ดังนั้นมันจึงมีความสำคัญที่ต้องถามตัวเราเอง อะไรที่เราชอบ อะไรที่ทำให้เรายินดี
4. เรียนรู้ที่จะมีความยินดีและมีความสุข
ในการที่จะเรียนรู้ความงามเฉพาะแต่ละบุคคล คุณลองสิ่งต่อไปนี้ที่ทำให้คุณพึงพอใจ
- สะสมรูปที่ทำให้คุณสนใจ สะสมรูปแม็กกาซีน เก็บภาพ และแบ่งมันเป็นหมวดหมู่ (เดี๋ยวนี้ใช้ Pinterest ได้) เสมือนเวลาเราตกแต่งบ้าน
- สะสมวัตถุเล็กๆในแบบเดียวกัน คุณสามารถเติมเต็มกล่องด้วยกระดุม,แท่งน่ารักๆ,หิน หรืออะไรที่คุณสนใจเพราะว่าสีหรือรูปร่างของมัน
สุดท้ายแล้วคุณจะจบด้วยสิ่งที่สามารถเข้าถึงคุณได้ในเลเวลหนึ่งและดูที่สิ่งที่คุณสะสมและถามตัวเอง อะไรที่สิ่งเหล่านี้มีเหมือนกัน มันอาจจะเป็นสี เป็นสไตล์ หรือเป็นผิวสัมผัส หรือเป็นการออกแบบ มันไม่สำคัญว่ามันคืออะไร ตราบเท่าที่มันยังพูดกับเรา ดูที่สิ่งที่เราชอบโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้คิดว่าทำไมเราถึงชอบมันขนาดนั้น - สังเกตุว่าอะไรทำให้เราพึงพอใจ ในแต่ละคอลเลคชันมีสิ่งที่ทำให้คุณยิ้มได้ และรู้สึกดี มีแหล่งแรงบันดาลใจและความยินดีในบ้านของคุณ หรือในที่ทำงานของคุณนั้นทำให้ชีวิตของคุณนั้นน่าปลื้มปิติมากขึ้น
ให้ฉันตืนขึ้นและเปิดประตูนั้น เพื่อที่จะสูดลมหายใจกรุ่นของสุขภาพ
— Violet Fane
5. ศิลปะมีพลังที่ทำให้สมองรู้สึกดี
ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แนะนำว่า Dopaminergic effect นั้นมีผลต่อคุณภาพชีวิตของคุณ มันได้แสดงให้เห็นในผู้ป่วยที่รอดชีวิตจากหัวใจวาย เป็นผู้ที่สนใจในศิลปะ และมีชีวิตที่ดีกว่า เดินง่ายกว่า รู้สึกมีพลังกว่า และรู้สึกมีความสุขมากกว่า พวกเขาจะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลน้อยลง
ผลได้สรุปออกมาว่าศิลปะนั้นใช้ระยะเวลาในการเปลี่ยนแปลงสมองที่ช่วยให้คนๆนั้นรอดได้เมื่อมีบางอย่างผิดปกติไป
6. ความอ่อนไหวต่องานศิลปะนั้นพัฒนาไปตลอดชีวิตของเรา
ในปี 1940s อับราฮัม มาสโลว์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกันได้พัฒนา ลำดับชั้นความต้องการขึ้นมา ตามที่มาสโลว์ได้กล่าวไว้ก็คือ คนเราจะพัฒนา จากความต้องการขั้นพื้นฐาน ไปยังความต้องการในการเข้าใจตนเอง ทฤษฏีของเขา ได้แสดงให้เห็นเป็นภาพพีรามิด ในบริเวณก้นพีรามิดนั้นคือความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน และเมื่อสูงขึ้นๆ เราก็มีความต้องการที่ละเอียดซับซ้อนมากขึ้น คนเราจะไม่ต้องการความต้องการด้านบนพีรามิด ถ้าความต้องการด้านล่างยังไม่ถูกการเติมเต็ม มาสโลว์ได้กล่าวเอาไว้
ศิลปะอยู่บนยอดพีรามิด เพราะมันคือความเข้าใจตนเอง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคนเราบางคนถึงไม่ชื่นชมในศิลปะเท่าคนอื่นๆ และทำไมความอ่อนไหวต่องานศิลปะของเรานั้นเปลี่ยนไปตลอดชีวิตของเรา มีพีรามิดเวอร์ชันปรับปรุงออกมามากมาย แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการเข้าใจตนเองในยอดบนสุดของพีรามิด เกี่ยวกับความรู้สึกและการพึงพอใจ และนั่นคือที่ๆประสบการณ์ทางศิลปะอยู่ตรงนั้น
7. ศิลปะเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่ลึก
ภาษาของศิลปะ แสดงออกทางเสียง สี รูปร่าง เส้น และภาพ พูดในทางที่คำพูดนั้นไม่สามารถทำได้
ไม่ว่าคุณจะมีประสบการณ์กับศิลปะโดยการเป็นผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ หรือในฐานะคนรักงานศิลปะ คุณสามารถได้รับความพึงพอใจและความสนุกสนานจากทุกรูปแบบของศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นดนตรี,ทัศนศิลป์,ประติมากรรม,ภาพยนตร์หรือการแสดงละคร หรือการเต้น
ศิลปะมักจะมีหนทางที่ลึกลงไปสู่จิตใจ และเชื่อมต่อกับอะไรที่อยู่ข้างในเรา ความคิด ความรู้สึก และการรับรู้ ด้วยความเป็นจริงภายนอก และด้วยประสบการณ์ของเรา ประสบการณ์อันลึกนั้นอยู่ในระดับเฉพาะบุคคล ศิลปะสามารถช่วยให้เรารู้ว่าเราคือใครและทำให้ชีวิตดีขึ้นด้วยการแสดงออกมา
อ้างอิง:
http://ift.tt/2uJBSGG
The post 7 เหตุผลดีๆที่งาน ศิลปะ จะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น 100% appeared first on ILLUSTCOURSE.
from WordPress http://ift.tt/2tG6NmP
via IFTTT
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น